บทที่ 2 ข้อมูลพื้นฐานโครงการ
(Facts)
ศูนย์วิจัยบริษัทไทยออยล์
เป็นโครงการสำหรับวิจัยน้ำมันของบริษัทไทยออยล์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ของผู้ที่สนใจในด้าน
ปิโตรเลียม ซึ่งโครงการนี้เป็นลักษณะการใช้งานในด้านสำนักงานเป็นหลัก
และโครงการเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ดังนั้นในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล
จะอ้างอิงมาจากกรณีศึกษาที่มีความใกล้เคียง ประกอบกับข้อมูลต่างๆที่มาจากการ การลงพื้นที่
และข้อมูลทางด้านสถิติ เพื่อนามาวิเคราะห์ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานโครงการ ซึ่งประกอบด้วยด้านต่างๆดังนี้
2.1.
ข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอย (Function Facts)
2.2.
ข้อมูลพื้นฐานด้านรูปแบบ (Form Facts)
2.3.
ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์ (Economic Facts)
2.4.
ข้อมูลพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (Technology Facts)
2.1
ข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอย
ในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานด้านหน้าที่ใช้สอยของโครงการนั้น
ได้ทำการวิเคราะห์ในหัวข้อและรายละเอียดจากข้อมูลที่เป็นสถิติ เอกสารทางวิชาการ การสำรวจ
การสังเกตการณ์และกรณีศึกษา โดยมีรายละเอียดต่างๆ ดังต่อไปนี้
2.1.1.
ผู้ใช้โครงการ (Users)
2.1.2.
กิจกรรม (Activities)
2.1.1
ผู้ใช้โครงการ
1)
ผู้ใช้โครงการประจำ
-
พนักงาน
- ผู้บริหาร
-นักวิจัยโครงการ
2)
ผู้ใช้โครงการชั่วคราว
-ผู้ทำธุรกิจกับบริษัท
-ผู้ที่มีความสนใจโครงการวิจัย
2.1.2
กิจกรรม
1) พฤติกรรมของผู้ใช้โครงการ
จากการศึกษารูปแบบพฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์กับผู้ใช้โครงการประเภทสถาบันวิจัย
ที่มีส่วนของการจัดแสดงเป็นองค์ประกอบของโครงการนั้น พบว่าโดยมากผู้ใช้โครงการจะมีพฤติกรรมในลักษณะที่คล้ายๆ
กัน ซึ่งสามารถเขียนแสดงออกมาในรูปแบบของ
DIAGRAM แสดงความสัมพันธ์ได้ดังนี้
2.2.
ข้อมูลพื้นฐานด้านรูปแบบ (Form Facts)
ในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานด้านรูปแบบของโครงการ จะทำการศึกษาในส่วนของที่ตั้งโครงการ
สภาพแวดล้อมโดยรอบ และอัตลักษณ์ของโครงการ ซึ่ง เป็นปัจจัยในการออกแบบโครงการ ดังนี้
2.2.1.
ที่ตั้งและสภาพแวดล้อม(Environment)
2.2.2.
จินตภาพ(Image)
2.2.1.ที่ตั้งและสภาพแวดล้อม(Environment)
เป็นการศึกษาข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับที่ตั้งและสภาพแวดล้อมของโครงการและนำมาวิเคราะห์ตำแหน่งการวางอาคารให้เหมาะสม
2.2.2.
จินตภาพ(Image)
การศึกษาข้อมูลของลักษณะภายนอกและภายในที่ปรากฏออกมาในงานสถาปัตยกรรม
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านรูปทรง สี องค์วัสดุ หรือประกอบอื่นๆที่มองเห็นแล้วก็ให้เกิดจินตภาพที่สอดคล้องกับแนวความคิดของโครงการ
โดยโครงการศูนย์วิจัยเตือนภัยพิบัติและพิพิธภัณฑ์ได้ทาการศึกษาทางด้านจินตภาพของโครงการที่สอดคล้องกับลักษณะของโครงที่เป็นสถาบันการวิจัย
โดยอ้างอิงถึงโครงการประเทศต่างๆที่มีคุณภาพทางด้านจินตภาพโครงการ เพื่อนามาประยุกต์ใช้กับโครงการสถาบันศิลปศาสตร์แฟชั่นนานาชาติอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดยมีหัวข้อรายละเอียดในการพิจารณา ดังนี้
1)จินตภาพภายนอก(External Image)
2)จินตภาพภายใน(Internal Image)
1) จินตภาพภายนอก(External Image)
ศึกษาภาพรวมที่ปรากฏอยู่ภายนอกของงานสถาปัตยกรรมของอาคารที่เป็นกรณีศึกษา
เพื่อให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ แนวความคิด วิธีการจัดการ และวิธีการออกแบบให้ได้ตามแนวความคิดที่วางไว้
โดยมีรายละเอียดย่อยในการพิจารณาดังนี้
-รูปร่างและรูปทรง(Configulation and Image)
-ลักษณะ(Characteristic)
สถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงการอยู่รวมกับธรรมชาติ และบ่งบอกความเป็นโครงการ
ทั้งในส่วนของรูปทรง พื้นที่ว่าง วัสดุ และองค์ประกอบ การสร้างภาพลักษณ์เฉพาะตัวให้แก่งานสถาปัตยกรรม
ลักษณะของงานสถาปัตยกรรมที่สะท้อน
อัตลักษณ์ออกมาได้อย่างโดดเด่น และความนำสมัย
ในเรื่องวัสดุ เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งสามารถบ่งบอกประเภทของโครงการออกมาได้อย่างชัดเจนในรูปลักษณ์ของงานสถาปัตยกรรม
-รูปแบบ(Style)
เป็นโครงการที่มีรูปแบบที่เรียบง่าย
ดูทันสมัยและผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติ
ซึ่งจะออกมาในรูปแบบที่ดูเป็นโครงการและดูโดดเด่นในองค์กร
- สัดส่วน(Proportion) จังหวะ(Rhythm)และลำดับ(Order/Hierarchy)
โครงการที่มีสัดส่วนของอาคารที่สวยงาม สามารถบ่งบอกถึงประโยชน์ใช้สอยภายในอาคารได้อย่างชัดเจน
ซึ่งจะทำให้การสัญจรภายในอาคารนั้นเป็นไปได้ง่ายและการเล่นจังหว่ะของฟังก์ชั่นทำให้ดูตื่นตาของผู้ใช้โครงการได้
- สภาพแวดล้อมโครงการ(Landscape)
โครงการที่มีสภาพแวดล้อมที่สวยงาม โดยเฉพาะการออกแบบอาคารให้เข้ากับธรรมชาติโดยรอบได้อย่างลงตัว
และสามารถใช้สภาพแวดล้อมมาเสริมสร้างภาพลักษณ์โครงการให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
2)
จินตภาพภายใน (Internal Image)
เป็นการศึกษาถึงจินตภาพหรือรูปแบบภายในอาคารของอาคารกรณีศึกษา
โดยมีหัวข้อในการพิจารณา ดังนี้
- ลักษณะและคุณภาพของที่ว่าง(Character and Quality of Space)
จากการศึกษาจะพบว่าปริมาตรและขนาดของที่ว่าง ควรจะมีความเหมาะสมกับองค์ประกอบแต่ละหน้าที่
และต้องมีการเชื่อมโยงที่ว่างต่างๆ ให้มีความต่อเนื่องและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดโครงการเพราะว่าจะสามารถสื่อถึงสิ่งที่โครงการต้องการจะนำเสนอต่อผู้ใช้โครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- จังหวะ (Rhythm) หรือลำดับ
(Order / Hierarchy)
จากการศึกษาจะพบว่าการสร้างจังหวะให้กับที่ว่างภายในอาคาร
จะต้องใช้การจัดพื้นที่ให้เกิดการโอบล้อมของที่ว่างจากกิจกรรม หรือจาก เนื้อหาของกิจกรรมที่แตกต่างกันโดยการใช้ Pattern , Plane ให้เกิดทิศทางและความต่อเนื่อง มีการวางลำดับการรับรู้ที่ว่างตามที่โครงการต้องการจะสื่อสารกับผู้เข้าชมโครงการ
2.3
ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์
(Economic Facts)
ในการศึกษาข้อมูลทางเศรษฐศาสตร์นั้น จะทำการศึกษาข้อมูลต่างๆ
ที่เกี่ยวกับการลงทุน การเงินของโครงการและระดับคุณภาพของอาคาร ซึ่งจะนำเอาข้อเท็จจริงเหล่านี้มาใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการกำหนดคุณภาพ
งบประมาณและการคำนวณรายละเอียดของโครงการในขั้นต่อไป โดยนี้ จะทำการค้นหาข้อมูลจากกรณีศึกษา
เพราะเป็นโครงการจริงที่อยู่ภายในประเทศที่เป็นโครงการของเอกชน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.3.1 การลงทุนโครงการ
จากการศึกษาและการวิเคราะห์จะพบว่าโครงการเพื่อการศึกษาวิจัย
และการวิจัยทดลอง เป็นโครงการที่มีต้นทุนสูง เนื่องจากเป็นโครงการที่มีการนำเข้าถึงเทคโนโลยีที่นำสมัยและเป็นโครงการที่คำนึงถึง
งบประมาณในการลงทุน
2.4. ข้อมูลพื้นฐานด้านเทคโนโลยี(Technology
Facts)
2.4.1.ด้านพลังงาน
2.4.2.ด้านระบบระบายอากาศ
2.4.3.ด้านระบบรักษาความปลอดภัย(Security
Management)
2.4.4.ระบบบริหารความปลอดภัยของผู้ใช้งาน(Occupant Safety Management )
2.4.5.ระบบบริหารสายสัญญาณ
( Cable Management)
2.4.6.ด้านระบบโครงสร้างอาคาร
2.4.7.ด้านระบบวัสดุอาคาร
2.4.1. ด้านพลังงาน
ทำหน้าที่วางแผนและควบคุมการใช้พลังงานของอาคารที่ได้มาจากพลังงานแสงอาทิตย์และระบบอิเล็กโทรนิกที่ช่วยควบคุมพลังงานภายในอาคาร
เช่น ระบบแสงสว่างเปิด-ปิด อัตโนมัติ โดยจะบริหารให้ได้ประโยชน์สูงสุด ให้เสียค่าใช้จ่ายต่าสุด
2.4.2. ด้านระบบระบายอากาศ
ทำหน้าที่ระบายอากาศเสียหรือควันพิษที่เกิดจากการทดลอง
และการระบายความร้อนที่เกิดขึ้นภายในอาคาร
โดยใช้เทคโนโลยีการดูดควันและอากาศออกจากตัวอาคาร
2.4.3 ด้านระบบรักษาความปลอดภัย (
Security Management )
ทำหน้าที่ตรวจตรา และตรวจสอบ
การเข้า-ออกอาคารของบุคคลประเภทต่างๆ
โดยใช้อุปกรณ์ ตั้งแต่ ระบบควบคุมทางเข้า-ออก (Access
Control) ,อุปกรณ์ตรวจสอบความร้อน ,กล้องวงจรปิด
,ระบบตรวจสอบการเคลื่อนไหว ฯลฯ โดยจะต่อสัญญาณเข้ากับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยส่วนกลาง
ซึ่งควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์
2.4.4.ระบบบริหารความปลอดภัยของผู้ใช้งาน(Occupant
Safety Management )
ทำหน้าที่ควบคุมระบบแจ้งเตือนไฟไหม้ ระบบดับเพลิง ระบบอัดอากาศ
และระบายควัน โดยการทำงานจะประสานกันทั้งหมด เพื่อให้ระบบการป้องกันภัยมีประสิทธิภาพสูงสุด
2.4.5. ระบบบริหารสายสัญญาณ
( Cable Management)
สายสัญญาณเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งการวางระบบสายสัญญาณจะไม่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
แต่จะเกิดขึ้นค่อยเป็นค่อยไปในระหว่างการใช้อาคาร ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนชนิดและตำแหน่งของอุปกรณ์
เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาในอาคาร ซึ่งจะใช้โปรแกรมเก็บข้อมูลการวางสายสัญญาณของอาคารทั้งหมด
เพื่อช่วยในการวางแผน แก้ไขเพิ่มเติมสายสัญญาณต่างๆ ในอนาคต
2.4.6.ด้านระบบโครงสร้างอาคาร
1)
ระบบโครงสร้าง(Structure)
-
ระบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก(Reinforced Concrete)
จากกรณีศึกษา จะใช้ในส่วนของฐานรากและส่วนที่ติดกับพื้นดิน
เนื่องจากช่วยป้องกันเรื่องของความชื้นได้ดี รวมไปถึงใช้เป็นแกนของอาคาร ซึ่งได้ผลดีกว่าโครงสร้างเหล็กเนื่องจาก
กรณีศึกษาส่วนใหญ่จะมีการวางห้องน้ำ หรือส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับงานระบบสุขาภิบาล
- ระบบโครงสร้าง Long Span
เนื่องจากโครงการมีการใช้งานหน้ากว้าง หลายการใช้งาน จึงมีการคำนึงโครงสร้างที่มารองรับส่วนที่เป็นหลังคา
ที่มีความกว้างโดยกรณีศึกษา มีการใช้หลายรูปแบบ เช่นระบบ Truss หรือระบบโครงข้อหมุนสามมิติ
Space Frame และมีเทคโนโลยีการก่อสร้าง เช่น ระบบ Leading
Edge ซึ่งเป็นระบบการก่อสร้างที่คล้ายกับเทคโนโลยีการทำปีกเครื่องบิน
2)
ระบบปรับอากาศ(Air-Conditioning)
- ระบบปรับอากาศ VRV System
หรือระบบ Variable Refrigerant Volume ระบบปรับอากาศชนิดนี้
คือระบบปรับอากาศแบบ Split Type ขนาดใหญ่โดยได้คงส่วนดีของระบบ
Split Type เดิมไว้ แล้วเพิ่มความสามารถใหม่ๆเข้าไปในระบบอีกหลายอย่าง
เพื่อให้ระบบนี้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้งานสะดวก และ ยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าระบบ Sprite Type เดิม มีการพัฒนาให้ท่อน้ำยาเดินไปได้ไกลขึ้น
3)
.ระบบสุขาภิบาล(Sanitary)
-ระบบประปา
เป็นระบบ
Up Feed System โดยระบบจ่ายน้ำประปาขึ้นจากชั้นล่างของอาคารไปแจกจ่ายทั่วอาคาร
จนถึงชั้นบนของอาคาร
-ระบบน้ำเสีย
เป็นระบบ Aerobic Treatment เป็นระบบที่มีความเหมาะสมกับโครงการมากที่สุด
เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง ใช้เนื้อที่ในการก่อสร้างน้อย โดยเหมาะสมกับอาคารขนาดใหญ่และอาคารสูง
โดยมีหลักการคือการเติมจุลชีพลงไป เพื่อย่อยสลายอินทรีย์ในน้ำเสียที่เป็นตะกอนโยเครื่องเติมอากาศทางานตลอดเวลาโดยน้าเสียที่บำบัดแล้วจะไหลลงสูท่อสาธารณะ
4)
ระบบไฟฟ้ากำลัง(Electricity)
-ระบบไฟฟ้ากำลังแบบ Sub-Station
เป็นระบบที่เหมาะสมกับโครงการที่มีขนาดใหญ่
เนื่องจากต้องการใช้ไฟฟ้าจานวนมาก และระบบนี้สามารถซ่อมบารุงได้ง่าย เพราะเป็นของเฉพาะที่ใช้ในโครงการ
5)
ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน(Emergency System)
6)
ระบบป้องกันฟ้าผ่า(Lighting Protection System)
7)
ระบบสื่อสารโทรคมนาคม(communication)
-ระบบโทรศัพท์(Telephone System)
PABX
เป็นระบบที่นำมาใช้ภายในองค์กรของโครงการ เนื่องจากเป็นระบบที่เป็นการจำลองชุมสายโทรศัพท์
และกระจายตามหน่วยย่อยภายในโครงการ ซึ่งจะเป็นการจัดการควบคุมส่วนต่างๆของโครงการ และประหยัดกว่าระบบโทรศัพท์ปกติ
- ระบบอินเตอร์เน็ต
โดยโครงการจะเป็นการใช้ระบบไร้สาย
Internet-Wireless ซึ่งครอบคลุมในระยะสัญญาณในระยะใกล้ และมีการควบคุสัญญาณได้
ประหยัดการใช้สายสัญญาณ และการดูแลรักษา เน้นการใช้งานภายในองค์กร และผู้มาติดต่อในโครงการ
และระบบ Wi-Fi สำหรับการกระจายสัญญาณระยะไกล ครอบคลุมโครงการและบริเวณโดยรอบ
โดยควบคลุมจากศูนย์บริการโทรคมนาคมสื่อสารของโครงการ
- ระบบกระจายเสียง
โดยเป็นการกระจายเสียงไปยังส่วนต่างๆ โดยมาจากส่วนประชาสัมพันธ์ เพื่ออำนวยความสะดวกด้าน
การประกาศข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ แก่คนในองค์กรและกลุ่มผู้ใช้โครงการ
8)ระบบป้องกันอัคคีภัยและระบบดับเพลิง(Fire Protection Extinguishers)
9)ระบบแสงสว่าง(Lighting)
10)ระบบบันไดเลื่อน(Escalator)
11)ระบบลิฟต์ขนส่ง(Elevator)
2.4.7.ด้านระบบวัสดุอาคาร
เนื่องจากโครงการนี้ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อนชื้น
และมีอุณหภูมิสูงเกือบตลอดปี ปัญหาในการออกแบบ คือ การลดปริมาณความร้อนที่จะเข้ามาภายในอาคาร (Cooling Load) ดังนั้นเพื่อลดปริมาณความร้อนจำเป็นต้องเลือกวัสดุที่จะนำมาใช้กับอาคารที่เหมาะสม
ซึ่งควรมีลักษณะ ในการกันความร้อนได้ดี ไม่เป็นอันตรายกับสิ่งแวดล้อม ราคาประหยัด
สวยงามและ ทนนทานต่อสภาวะอากาศ ได้แบ่งออกเป็นประเภทการใช้งานดังนี้
1) กระจก
กระจกฮีตสต๊อป
(Heat Stop) เป็นกระจกที่ใช้ในส่วนที่มีการปรับอากาศ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายนอกอาคาร
ช่วยในการลดภาระการปรับอากาศในอาคารได้เป็นอย่างดีกระจกฮีตสต๊อปที่มีใช้มี
2 แบบ โดยเรียกตามชื่อทางการค้าแตกต่างกันดังนี้
- Heat-stop-E-RSCAZ เป็นกระจกที่ใช้ในส่วนปรับอากาศทั้งหมดในอาคารวิจัย
คือ ส่วนของห้องวิจัยและส่วนพักคอย
- Heat-stop-E-VGN ใช้ในบางส่วนของโครงการในทิศตะวันออกและตะวันตก
2) ผนัง
- ผนังระบบกันความร้อนภายนอก (EIFS)
ผนังระบบ EIFS มีการใช้ฉนวนประเภทโฟม
ไฟเบอร์กลาส และระบบเคลือบกันความเสียหายจากความร้อนและความชื้นด้านนอกอาคารไว้โดยรอบ
และยังมีน้ำหนักเบา ทำให้ทำงานได้ง่าย จุดเด่นของระบบผนัง EIFS คือ เมื่อนำไปใช้กับผนังภายนอกอาคารแล้วสามารถป้องกันการแตกร้าวได้ดีมาก อีกทั้งวัสดุที่ใช้เคลือบภายนอกก็เป็นสารผสมทรายที่กันรังสี
UV ได้ดี กับมีสารบางตัวซึ่งทำหน้าที่ป้องกันผนังจากรอยร้าวและความชื้น
ทำให้ผนังมีสภาพคงทนสวยงามได้มากกว่า 30 ปี จะใช้กับผนังในส่วนทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
- ผนังก่ออิฐฉาบปูน
2
ชั้นมีช่องอากาศ
ผนังประเภทนี้มีลักษณะคล้ายผนังก่ออิฐฉาบปูน
2 ชั้นแต่
ป้องกันความร้อนได้ดีกว่า เนื่องจากมีช่องว่างระหว่างผนัง
ช่วยเพิ่มค่าฉนวนของผนัง จะใช้กับผนังทุกส่วนในอาคาร
3)
พื้น
ถ้าบริเวณโดยรอบอาคารมีการปรับแต่งสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
และมีอุณหภูมิดินที่เย็นแล้ว สามารถเลือกใช้วัสดุพื้นที่ดึงเอาความเย็นจากดินมาใช้ในอาคาร
ทำให้ผิวของพื้นของอาคารนั้นมีอุณหภูมิต่ำกว่าผิวกายของมนุษย์และเกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างผิวกายกับสภาพแวดล้อมทำให้รู้สึกเย็นกว่าปกติ
ซึ่งเป็นการใช้เทคนิคของการถ่ายเทความร้อนระหว่างตัวคนกับสภาพแวดล้อม หรือ MRT Effect เพราะถ้าอุณหภูมิรอบข้างโดยเฉลี่ยต่ำกว่าผิวกาย 1 องศาเซลเซียส
มนุษย์จะรู้สึกเย็นกว่าปกติ 1.4 องศาเซลเซียส เทคนิคของการทำผิวของสภาพแวดล้อมให้เย็นนี้ เป็นเอกลักษณ์ที่พบได้ในสถาปัตยกรรมไทย
เช่น พื้นใต้ถุนบ้าน พื้นโบสถ์ วัสดุพื้นชนิดอื่น
ๆ ก็สามารถนำมาใช้ในอาคารได้ ถ้ามีความเข้าใจในคุณสมบัติของวัสดุ และนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
เช่น
- ไม้ มีคุณสมบัติเป็นฉนวนในระดับหนึ่ง ถ้านำมาใช้กับพื้นชั้นล่างจะลดค่าการนำความร้อนจากดินลงไปมากทำให้สูญเสียความรู้สึกเย็นจากสภาพแวดล้อมลงไปเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้หินชนิดต่าง
ๆ
- หินแกรนิตมีความคงทนแต่ให้ความรู้สึกที่แข็งกระด้างเหมาะกับการใช้งานในบริเวณพื้นนอกอาคาร
-
กระเบื้องเคลือบ มีความคงทน และดูแลรักษาง่าย จะใช้ในส่วนของห้องวิจัย
4) วัสดุมุงหลังคา
ให้ในส่วนของหลังคานั้นเป็น
Green
Roofเพื่อที่จะลดความร้อน
จากหลังคาอีกวิธีหนึ่ง
Green roofs ที่หมายถึง
หลังคาที่เป็นสีเขียวจากการมีพืชพันธุ์
ปกคลุมอยู่ข้างบนไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณในลักษณะพืชคลุมดิน ไม้เลื้อย
หรือลักษณะใดๆก็ตามเน้นคำนึงผลกระทบต่สภาพแวดล้อมโดยตรง
นอกเหนือไปจากการสร้างสภาวะสบายและการลดการใช้พลังงานของอาคารซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
คือ
-
Green roofs ที่เป็นสวนหลังคา (Roof gardenสามารถออกมาใช้สอยพื้นที่ได้
-
Green roofs ที่เน้นการปลูกพืชพันธุ์บนหลังคไม่ได้เน้นที่ประโยชน์ใช้สอย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น